เลือกใช้แอร์ยังไงให้ประหยัดค่าไฟ มาดูกัน?!

เลือกใช้แอร์ยังไงให้ประหยัดค่าไฟ มาดูกัน?!

 

            ก่อนซื้อแอร์หลายคนจะคิดค่าแอร์รวมค่าติดตั้งแบบถูกสุดไปเลย ประหยัดดี (แต่อาจไม่ประหยัดไฟ) หรือคิดแบบซื้อตามงบที่ตัวเองโอเคแล้วประหยัดไฟด้วย(คนส่วนใหญ่จะเป็นตามข้อนี้) หรือคิดแบบคิดเยอะสุดคือแอร์ถูก คุณภาพดี ประหยัดไฟสุดๆ แบบดีครบวงจรไปเลย (อันนี้หายากนิดนึงเพราะแอร์ดีๆ ราคาจะแปรผันตามคุณภาพ) แล้วจะทำยังไงให้โดยรวมประหยัดที่สุดหล่ะ...? 

นอกจากการซื้อแอร์ไปติดตั้งที่ราคาโดนใจแล้ว การใช้แอร์ให้ประหยัดไฟก็สำคัญเช่นกัน เพราะเราไม่ได้ซื้อแล้วจบ ไม่ใช่ข้าว 1 จานที่กินอิ่มแล้วก็จบกัน การใช้แอร์ยังต้องจ่ายค่าไฟไปเรื่อยๆ ตราบที่คุณยังร้อนและเปิดทุกวัน แล้วอยากประหยัดค่าไฟแอร์ต้องทำยังไง? 

ก่อนซื้อแอร์

ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

           1.ต้องมั่นใจว่ามีเบอร์ 5 แอร์นั้นมีทั้งแบบได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จาก กฟผ.ที่รับรองว่าสินค้านั้นๆ ประหยัดไฟและมีประสิทธิภาพสูง และแบบแอร์ที่ได้รับ มอก. เท่านั้น คือได้ใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมการผลิต ไม่มีฉลากประหยัดไฟ ทำให้ประหยัดไฟน้อยกว่าเบอร์ 5 ก็คือกินไฟมากกว่า

           แต่! เราจะดูเฉพาะฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 อย่างเดียวไม่ได้ ปัจจุบันจะมีค่าประสิทธิภาพ EER หรือ SEER เข้ามาเทียบเพิ่มเพื่อให้ดูว่าสินค้าแบบไหนมีความประหยัดไฟมากกว่ากัน โดยที่ค่า EER เป็นค่าประสิทธิภาพแบบเก่าที่ยิ่งมีค่ามากยิ่งดี และ SEER เป็นค่าประสิทธิภาพแบบใหม่ที่แปรผันตามฤดูกาลทำให้ค่ามีความละเอียดมากขึ้น โดยค่าเหล่านี้สามารถดูได้บนฉลากเบอร์ 5 หรือในแคตตาล็อกแอร์

           นอกจากค่าประสิทธิภาพแล้ว กฟผ.มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ออกมา สามารถแบ่งความละเอียดเป็นดาว มีตั้งแต่ 0-3 ดาว โดยยิ่งดาวมาก ค่า SEER ยิ่งมาก ซึ่งก็คือประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดเวลาเลือกซื้อแอร์ให้กินไฟต่ำที่สุด คือ มีฉลากเบอร์ 5 และได้ 3 ดาว นั่นเอง (แต่ก็ใช่ว่าแอร์ทุกประเภทจะได้ฉลากเบอร์ 5 ถ้าเป็นแอร์ใหญ่ บีทียูมากเกิน 40,000 บีทียู จะไม่ได้ฉลากเบอร์ 5)

            2.ต้องมั่นใจว่าเลือกขนาดแอร์ถูกต้อง การเลือกบีทียูของแอร์สำคัญไม่แพ้กันเพราะหากคุณเลือกแอร์ขนาด 9000 บีทียู มาติดตั้งแต่ห้องของคุณต้องการ 12,000 บีทียู แอร์ในห้องนั้นจะทำงานหนัก ซึ่งต้องการกำลังในการทำความเย็นเยอะๆ ทำให้มีการใช้พลังงานไฟเยอะและค่าไฟพุ่งสูงขึ้น วิธีแก้คือ กั้นห้องให้แอร์ทำงานพอดีกับบีทียู หรือ เปลี่ยนขนาดแอร์ 

            3.เลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ INVERTER แอร์อินเวอร์เตอร์เป็นระบบที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากเนื่องจากมีการควบคุมคอมเพรสเซอร์ให้กินไฟตามการระบายความร้อนมากหรือน้อย แตกต่างจากแอร์ธรรมดาที่ไม่ว่าจะระบายความร้อนออกจากคอมเพรสเซอร์มากหรือน้อยก็จะกินไฟสูงเท่ากัน โดยที่ระบบอินเวอร์เตอร์นั้นปกติจะมีฉลากเบอร์ 5 อยู่แล้วและค่า SEER ที่สูงกว่าแอร์เบอร์ 5 ทำให้สินค้าที่ได้ฉลากเบอร์ 5 อาจไม่ใช่ระบบอินเวอร์เตอร์ก็ได้ 

           4.มั่นใจว่าห้องของเราไม่รับความร้อนมากเกินไป ส่วนใหญ่ห้องที่รับความร้อนมากๆ จะเป็นร้านอาหารปิ้งย่าง ชาบู หรือร้านทำผมที่มีการปล่อยความร้อนออกมามาก หากก่อนซื้อไม่คำนวณเผื่อบีทียู คำนวณแค่บีทียูห้อง พอติดตั้งแอร์ไปจะทำให้แอร์ของคุณทำงานหนักและกินไฟมากขึ้นเหมือนกับข้อ 2 (ดูวิธีเลือกขนาดบีทียูได้ที่ https://www.networkcooling.com/บทความเกี่ยวกับแอร์/มาดูวิธีเลือกขนาดบีทียูแอร์กัน.html)

 

หลังซื้อแอร์

            5.ตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศาเซลเซียส เป็นอุณหภูมิมาตรฐานที่การไฟฟ้าให้ข้อมูลมาว่าประหยัดไฟที่สุด

            6.ล้างแอร์ การล้างแอร์ช่วยทำความสะอาดแอร์ให้สะอาดใหม่ ทำให้แอร์ทำงานได้ดีเต็มที่ โดยแอร์บ้านทั่วไปจะล้างทุก 6 เดือน ส่วนแอร์ที่ทำงานหนักๆ อย่างในร้านอาหารควรล้างทุกๆ 3 เดือนเพราะจะสกปรกง่ายกว่า 

            7.ไม่วางของกีดขวางทางออกลมร้อนคอมเพรสเซอร์ คอมเพรสเซอร์ที่วางไว้ด้านนอกเป็นทางออกของลมร้อน หากมีสิ่งของมากีดขวางทางออกของลมจะทำให้ระบายลมไม่ออก เกิดความร้อนอยู่ตลอด แอร์ไม่สามารถทำความเย็นได้ จึงทำงานหนักและกินค่าไฟ

การประหยัดไฟของเราก็มี 7 ข้อด้วยกันลองทำดูนะคะ รับรองว่าช่วยคุณประหยัดค่าไฟแอร์ได้มากเลยทีเดียว

 

 (บทความนี้เน็ตเวิร์กแอร์เป็นผู้เขียน ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความที่อยู่บนเว็บไซต์นี้ไปวางไว้ที่อื่นค่ะ)

บทความ By Admin@NetworkCooling

รวมบทความแอร์

Visitors: 804,752